มูลนิธิ EDP

ข้อบังคับมูลนิธิ EDP

หมวดที่ 1 : ชื่อ เครื่องหมาย และสำนักงานที่ตั้ง

  • ข้อ 1. มูลนิธินี้ชื่อว่า "มูลนิธิอีดีพี" เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "EDP Foundation"
  • ข้อ 2. เครื่องหมายของมูลนิธิ คือ



    ความหมายของเครื่องหมาย

    แสดงถึงพลังความสามัคคี ร่วมมือ ร่วมใจ ของนักศึกษาหลักสูตร EDP (Executive Development Program) ที่มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมการศึกษา และเพื่อสาธารณประโยชน์

    วงกลม แสดงถึง ความสามัคคี ร่วมมือ ร่วมใจ ของบรรดานักศึกษา EDP

    สีดำของตัวหนังสือ EDP แสดงถึง ความมุ่งมั่น หนักแน่น ของบรรดานักศึกษา EDP ที่จะดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ

    สีเหลืองทอง แสดงถึง ความสว่างไสว ความสำเร็จ ที่เกิดจากความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของนักศึกษา EDP

    สรุปเครื่องหมายของมูลนิธินี้สื่อถึง การรวมตัวของนักศึกษา EDP ที่มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินกิจการของมูลนิธิ EDP ให้ลุล่วง สำเร็จสมดังเจตนารมณ์
  • ข้อ 3.สำนักงานของมูลนิธิตั้งอยู่ที่

    อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
    ชั้น 6 เลขที่ 93 ถนนรัชดาภิเษก
    แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400

    โทรศัพท์ : 0-2009-9191
    โทรสาร : 0-2247-7449
    อีเมล : edp_coordinator@lca.or.th
    เว็บไซต์ : www.thailca.com

หมวดที่ 2 : วัตถุประสงค์

  • ข้อ 4. วัตถุประสงค์ของมูลนิธินี้ คือ
    • ส่งเสริมการศึกษา
    • จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสาธารณประโยชน์
    • เพื่อดำเนินการ หรือร่วมมือกับองค์การการกุศล เพื่อการกุศลและองค์การสาธารณประโยชน์เพื่อสาธารณประโยชน์
    • ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด

หมวดที่ 3 : ทุนทรัพย์ ทรัพย์สิน และการได้มาซึ่งทรัพย์สิน

  • ข้อ 5. ทรัพย์สินของมูลนิธิมีทุนเริ่มแรก คือ เงินสด จำนวน 200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน)
  • ข้อ 6. มูลนิธิอาจได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยวิธีต่อไปนี้
    • เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรม หรือนิติกรรมอื่นๆ โดยมิได้มีเงื่อนไขผูกพันให้มูลนิธิต้องรับผิดชอบในหนี้สินหรือภาระติดพันอื่นใด
    • เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้
    • ดอกผลซึ่งเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ
    • รายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิซึ่งอยู่ภายในขอบวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ

หมวดที่ 4 : คุณสมบัติและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ

  • ข้อ 7. กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติดังนี้
    • มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
    • ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ
    • ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท หรือ ความผิดลหุโทษ
  • ข้อ 8. กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
    • ถึงคราวออกตามวาระ
    • ตาย หรือลาออก
    • ขาดคุณสมบัติตามข้อบังคับข้อ 7
    • เป็นผู้มีความประพฤติและปฏิบัติตนเป็นที่เสื่อมเสีย และคณะกรรมการมูลนิธิมีมติให้ออก โดยมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของคณะกรรมการมูลนิธิ

หมวดที่ 5 : การดำเนินงานของคณะกรรมการของมูลนิธิ

  • ข้อ 9. มูลนิธินี้ดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิ มีจำนวนไม่น้อยกว่า 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คน
  • ข้อ 10. คณะกรรมการของมูลนิธิ ประกอบด้วย ประธานกรรมการมูลนิธิ รองประธานกรรมการมูลนิธิ เลขานุการมูลนิธิ เหรัญญิก และกรรมการอื่น ๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับข้อ 9
  • ข้อ 11. การแต่งตั้งกรรมการมูลนิธิ ให้ปฏิบัติดังนี้
    ให้คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่ แต่งตั้งประธานกรรมการมูลนิธิ และกรรมการ อื่นๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ
  • ข้อ 12. กรรมการดำเนินงานมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ 2 ปี
  • ข้อ 13. การแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิ ให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็นมติของที่ประชุม
  • ข้อ 14. กรรมการมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับแต่งตั้งเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิได้อีก
  • ข้อ 15. ในกรณีที่กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งถึงคราวออกตามวาระ ให้กรรมการของมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งถึงคราวออกตามวาระ ปฏิบัติหน้าที่กรรมการของมูลนิธิต่อไป จนกว่ามูลนิธิจะได้รับแจ้งการจดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิที่ตั้งใหม่
  • ข้อ 16. ถ้าตำแหน่งกรรมการมูลนิธิว่างลงให้คณะกรรมการมูลนิธิที่เหลืออยู่ ตั้งบุคคลอื่นเป็นกรรมการมูลนิธิแทนตำแหน่งที่ว่าง กรรมการมูลนิธิผู้ได้รับการตั้งซ่อมอยู่ในตำแหน่งเท่าวาระของผู้ที่ตนแทน

หมวดที่ 6 : อำนาจหน้าที่คณะกรรมการมูลนิธิ

  • ข้อ 17. คณะกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจการของมูลนิธิ ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิและภายใต้ข้อบังคับนี้ ให้มีอำนาจหน้าที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้
    • กำหนดนโยบายของมูลนิธิ และดำเนินการตามนโยบายนั้น
    • ควบคุมการเงินและทรัพย์สินต่างๆ ของมูลนิธิ
    • เสนอรายงานกิจการ รายงานการเงิน และบัญชีรายรับ-รายจ่ายต่อนายทะเบียน
    • ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ และวัตถุประสงค์ของข้อบังคับนี้
    • ตราระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของมูลนิธิ
    • แต่งตั้งหรือถอดถอนคณะอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง หรือหลายคณะเพื่อดำเนินการเฉพาะอย่างของมูลนิธิ ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการมูลนิธิ
    • เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ หรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นพิเศษ เป็นกรรมการกิตติมศักดิ์
    • เชิญผู้ทรงเกียรติเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิ
    • เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิ
    • แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่ประจำของมูลนิธิ มติให้ดำเนินการตามข้อ 17.7, 17.8 และ 17.9 ต้องเป็นมติเสียงข้างมากของที่ประชุมและที่ปรึกษาตามข้อ 17.9 ย่อมเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิที่เชิญเท่านั้น
  • ข้อ 18. ประธานกรรมการมูลนิธิ มีอำนาจหน้าที่ดังนี้
    • เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
    • สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
    • เป็นผู้แทนของมูลนิธิในการติดต่อกับบุคคลภายนอก หรือการลงลายมือชื่อในเอกสาร ข้อบังคับ และสรรพหนังสือ อันเป็นหลักฐานของมูลนิธิ เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือกรรมการมูลนิธิ ผู้ได้รับมอบหมายให้ทำการแทน ได้ลงลายมือชื่อแล้วจึงเป็นอันใช้ได้
    • ปฏิบัติการอื่นๆ ตามข้อบังคับ และมติของคณะกรรมการมูลนิธิ
  • ข้อ 19. ให้รองประธานกรรมการมูลนิธิทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิ เมื่อประธานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือในกรณีที่ประธานมอบหมายให้ทำการแทน
  • ข้อ 20. ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิและรองประธานกรรมการมูลนิธิไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการประชุมคราวหนึ่งคราวใดได้ ให้ที่ประชุมเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิคนใดคนหนึ่งเป็นประธานสำหรับการประชุมคราวนั้น
  • ข้อ 21. เลขานุการมูลนิธิมีหน้าที่ควบคุมกิจการและดำเนินการประชุมของมูลนิธิ ติดต่อประสานงานทั่วไป รักษาระเบียบ ข้อบังคับของมูลนิธิ นัดประชุมกรรมการตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิ และทำรายงานการประชุมตลอดจนรายงานกิจการของมูลนิธิ
  • ข้อ 22. เหรัญญิกมีหน้าที่ควบคุมการเงิน ทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง และเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด
  • ข้อ 23. สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่นๆ ให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด โดยทำเป็นคำสั่งระบุอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน
  • ข้อ 24. คณะกรรมการของมูลนิธิมีสิทธิเข้าร่วมประชุมกรรมการ หรืออนุกรรมการอื่นๆ ของมูลนิธิได้

หมวดที่ 7 : อนุกรรมการ

  • ข้อ 25. คณะกรรมการมูลนิธิอาจแต่งตั้งหรือถอดถอนอนุกรรมการได้ตามความเหมาะสม โดยจะแต่งตั้งให้เป็นอนุกรรมการประจำหรือเพื่อการใดเป็นกรณีพิเศษเฉพาะคราวก็ได้ และในกรณีที่คณะกรรมการมูลนิธิไม่ได้แต่งตั้งประธานอนุกรรมการ เลขานุการหรืออนุกรรมการในตำแหน่งอื่นไว้ ก็ให้อนุกรรมการและคณะแต่งตั้งกันเองเพื่อดำรงตำแหน่งดังกล่าวก็ได้
  • ข้อ 26. อนุกรรมการอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะเสร็จงานที่ได้รับมอบหมายให้กระทำ ส่วนอนุกรรมการประจำ อยู่ในตำแหน่งตามเวลาที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ ก็ให้อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระของคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง และอนุกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับการแต่งตั้งอีกก็ได้
    • อนุกรรมการมีหน้าที่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมาย
    • อนุกรรมการมีหน้าที่เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการมูลนิธิเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย

หมวดที่ 8 : การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ

  • ข้อ 27. คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำทุกๆ ปี ภายในเดือน มีนาคม และต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม
  • ข้อ 28. การประชุมวิสามัญอาจมีได้ในเมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือเมื่อคณะกรรมการมูลนิธิตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป แสดงความประสงค์ไปยังประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทนขอให้มีการประชุมก็ให้เรียกประชุมวิสามัญได้ องค์ประชุมให้ใช้ข้อ 27 บังคับโดยอนุโลม
  • ข้อ 29. กำหนดการประชุมและองค์ประชุมของคณะอนุกรรมการให้เป็นได้ไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิได้กำหนดไว้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประชุมให้คณะอนุกรรมการตกลงกันเองและในส่วนที่เกี่ยวกับองค์ประชุมให้ใช้ข้อ 27 บังคับโดยอนุโลม
  • ข้อ 30. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ หรือคณะอนุกรรมการ หากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มติของที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมาก ในกรณีที่คะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด กิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อย ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจสั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติทางหนังสือแทนการเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ แต่ประธานกรรมการมูลนิธิต้องรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิในคราวต่อไป ถึงมติและกิจการที่ได้ดำเนินการไปตามมตินั้น กิจการใดเป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อยหรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิ
  • ข้อ 31. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ หรือคณะอนุกรรมการ ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือประธานในที่ประชุมมีอำนาจเชิญหรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควรเข้าร่วมประชุมในฐานะแขกผู้มีเกียรติหรือผู้สังเกตการณ์ หรือเพื่อชี้แจง หรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้

หมวดที่ 9 : การเงิน

  • ข้อ 32. ในกรณีเร่งด่วนให้ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือรองประธานกรรมการมูลนิธิ ในกรณีที่ทำหน้าที่แทน มีอำนาจสั่งจ่ายเงินได้คราวละไม่เกิน 200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน) แล้วต้องรายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าว ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากก่อน
  • ข้อ 33. เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดได้ครั้งละไม่เกิน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) แล้วต้องรายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวถัดไป
  • ข้อ 34. เงินสดของมูลนิธิหรือเอกสารสิทธิ ต้องนำฝากไว้กับธนาคาร หรือสถาบันการเงินอื่นใดที่รัฐบาลค้ำประกัน แล้วแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร และหากมูลนิธิประสงค์จะซื้อพันธบัตรรัฐบาล ให้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการก่อน แต่ทั้งนี้ต้องไม่นำทรัพย์สินส่วนที่เป็นทุนมาดำเนินการดังกล่าว
  • ข้อ 35. การสั่งจ่ายเงินโดยเช็ค จะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิหรือผู้ทำการแทน กับเลขานุการหรือเหรัญญิกลงนามทุกครั้ง จึงจะเบิกจ่ายได้
  • ข้อ 36. การใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ รวมทั้งค่าใช้จ่ายประจำสำนักงาน ให้จ่ายเพียงดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุน เงินที่ผู้บริจาคมิได้แสดงเจตนาให้เป็นเงินสมทบทุนโดยเฉพาะ และรายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ
  • ข้อ 37. ให้คณะกรรมการมูลนิธิวางระเบียบเกี่ยวกับการเงิน บัญชี และทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนกำหนดอำนาจหน้าที่ต่างๆ เกี่ยวกับการรับและจ่ายเงิน นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
  • ข้อ 38. ให้คณะกรรมการมูลนิธิจัดทำรายงานสถานะการเงินของมูลนิธิในรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมา เสนอต่อที่ประชุมในการประชุมสามัญประจำปี

หมวดที่ 10 : การแก้ไข เพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิ

  • ข้อ 39. การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับจะกระทำได้ โดยเฉพาะที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด และการอนุมัติให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่เข้าประชุม

หมวดที่ 11 : การเลิกมูลนิธิ

  • ข้อ 40. ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการหรือโดยเหตุผลใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลืออยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย
  • ข้อ 41. การสิ้นสุดของมูลนิธินั้น นอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิต้องให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุต่อไปนี้
    • เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้ว ไม่ได้รับทรัพย์ตามคำมั่นเต็มจำนวน
    • เมื่อกรรมการมูลนิธิจำนวนสองในสามมีมติให้ยกเลิก
    • เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของมูลนิธิ
    • เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด

หมวดที่12 : บทเบ็ดเตล็ด

  • ข้อ 42. การตีความข้อบังคับของมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัย ให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากของจำนวนกรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด
  • ข้อ 43. ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิมาใช้บังคับ ในเมื่อข้อบังคับของมูลนิธิไม่ได้กำหนดไว้หรือกำหนดไว้ขัดแย้ง
  • ข้อ 44. มูลนิธิต้องไม่ดำเนินการหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน หรือเพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง

 

นายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี
ประธานกรรมการมูลนิธิ

.........